วันอาทิตย์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2561

รมช.เกษตรฯ ลงพื้นที่สระบุรีพบเกษตรกรชาวสวนปาล์มหลังราคาตกต่ำ



              รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ลงพื้นที่สระบุรีพบเกษตรกรชาวสวนปาล์มหลังราคาตกต่ำ พร้อมส่งเสริมให้ปลูกปาล์มน้ำมันให้ได้คุณภาพยกระดับผลิตเป็นไบโอดีเซล B20 จัดหาตลาดรองรับ
         



              ที่บริเวณลานเทกลุ่มชาวสวนปาล์มน้ำมันรพีพัฒน์  สหกรณ์การเช่าซื้อที่ดินหนองเสือ  ต.หนองหมู อ.วิหารแดง จ.สระบุรี นายลักษณ์   วจนานวัช  รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และคณะได้ลงพื้นที่ เพื่อเยี่ยมพี่น้องเกษตรกร ชาวสวนปาล์มน้ำมันในพื้นที่ทุ่งรังสิต จากอำเภอวิหารแดงจังหวัดสระบุรีและอำเภอหนองเสือจังหวัดปทุมธานี และติดตามรับฟังปัญหา  มีนายบัณฑิตย์ เทวีทิวารักษ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี นำส่วนราชการส่วนที่เกี่ยวข้อง พี่น้องเกษตรกรให้การต้อนรับ หลังกลุ่มเกษตรกรเคยยื่นหนังสือถึงรัฐบาลเรียกร้องขอความช่วยเหลือในเรื่องของราคาปาล์มที่ตกต่ำราคาปัจจุบันในพื้นที่ราคาอยู่ที่ 3.70-3.90 บาท/กก.  
       




            นายลักษณ์ วจนานวัช รมช.เกษตรและสหกรณ์ กล่าวภายหลังลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและพบปะกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันในพื้นทุ่งรังสิต ณ จังหวัดปทุมธานี และจังหวัดสระบุรี ว่า การปลูกปาล์มน้ำมันในเขตทุ่งรังสิตมีจุดเริ่มต้นจากโครงการศึกษาทดสอบการปลูกปาล์มน้ำมันในพื้นที่ภาคกลางและภาคตะวันตก โดยเป็นการทดสอบการเจริญเติบโตเปรียบเทียบกับพื้นที่ปลูกทางภาคใต้ ประมาณการผลผลิตและรายได้ของเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ เพื่อเป็นพืชทางเลือกอีกชนิดหนึ่งในเขตพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งจากแปลงศึกษาทดสอบในจังหวัดปทุมธานีเพียง 100 ไร่ ในปี 2547 ปัจจุบันเกษตรกรมีการขยายพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันออกไปในจังหวัดสระบุรี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และจังหวัดนครนายก เป็นพื้นที่กว่า 15,000 ไร่
       



            โดยปลูกในพื้นที่สวนส้มร้างที่ได้รับความเสียหาย แต่ยังมีระบบร่องสวนที่มีน้ำสามารถปลูกปาล์มน้ำมันได้ดี ให้ผลผลิตสูง มีแหล่งปลูกหลัก ๆ ในเขตทุ่งรังสิต ได้แก่ จังหวัดปทุมธานี ปัจจุบันมีเกษตรกรสนใจปลูกปาล์มน้ำมันกันมากขึ้นมีพื้นที่ปลูก 9,082 ไร่ (ข้อมูลทะเบียนเกษตรกร 16 พ.ค.61) โดยเกษตรกรมีการรวมตัวเป็นแปลงใหญ่ปาล์มน้ำมันในปี 2561 จำนวน 1 แปลง เกษตรกร 80 ราย พื้นที่ 2,239 ไร่ มีแผนการพัฒนาของสมาชิกกลุ่มเพื่อเสริมรายได้ในช่วงที่ผลผลิตมีราคาตกต่ำ คือ เลี้ยงปลาในร่องสวน เลี้ยงไก่ไข่ หรือไก่พื้นบ้าน เลี้ยงหมูหลุม และมีการลดต้นทุนการผลิต โดยส่งเสริมการใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน และสำหรับจังหวัดสระบุรี เกษตรกรมีการปรับเปลี่ยนพื้นที่ไปปลูกปาล์มน้ำมัน พื้นที่ 3,075 ไร่ (ข้อมูลทะเบียนเกษตรกร 16 พ.ค. 61) เกษตรกรผู้มีการรวมตัวเป็นแปลงใหญ่ปาล์มน้ำมัน ในปี 2561 จำนวน 1 แปลง เกษตรกร 30 ราย พื้นที่ 1,773 ไร่ มีแผนการพัฒนาของสมาชิกกลุ่มเพื่อตัดปาล์มน้ำมันให้ได้คุณภาพ และส่งเสริมการใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน
   




              อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผลผลิตเริ่มออกสู่ตลาดครั้งแรกในปี 2550 มีบริษัทรับซื้อปาล์มน้ำมันในจังหวัดชลบุรี มาเปิดจุดรับซื้อในพื้นที่ โดยกำหนดช่วงเวลารับซื้อ 15 วัน/ครั้ง ต่อมาเมื่อพื้นที่ปลูกมากขึ้น ผลผลิตออกสู่ตลาดมากขึ้น ผู้ประกอบการจึงมีการเปิดจุดรับซื้อผลผลิตปาล์มน้ำมันเพิ่มขึ้น โดยเกษตรกรสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตไปจำหน่ายได้ทุกวัน จุดรับซื้อในพื้นที่ ได้แก่ 1) เสถียรปาล์ม คลอง 9 ตำบลบึงชำอ้อ อำเภอหนองเสือ จังหวัดปทุมธานี 2) สหกรณ์ปฏิรูปที่ดิน หนองเสือ คลอง 8 ตำบลบึงชำอ้อ อำเภอหนองเสือ จังหวัดปทุมธานี 3) สหกรณ์ปั๊มบางจาก คลอง 13 ตำหนองหมู อำเภอวิหารแดง จังหวัดสระบุรี และ 4) ลานปราโมทย์การเกษตร ทั้งนี้ สำหรับเกษตรกรกลุ่มแปลงใหญ่ในจังหวัดปทุมธานีและจังหวัดสระบุรี ได้มีการเก็บเกี่ยวผลผลิตที่มีคุณภาพ โดยกลุ่มได้ให้ความรู้กับสมาชิกในการเก็บเกี่ยวผลผลิตตามมาตรฐานสินค้าเกษตรทะลายปาล์มน้ำมัน (มกษ.5702-2552)
     



             รมช.เกษตรและสหกรณ์ กล่าวอีกว่า มีการหารือถึงการทำงานร่วมกันจากทุกภาคส่วน โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้นำ ซึ่งจะมีการจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาปาล์มน้ำมันในพื้นที่ทุ่งรังสิต โดยต้องมีพื้นที่สวนปาล์มขนาดใหญ่ ตั้งแต่ 30,000 ไร่ขึ้นไป มีการบริหารจัดการแบบครบวงจร รวบรวมผลผลิตของพี่น้องเกษตรกรเป็นลานเทเพื่อส่งโรงงานสกัดเอทานอลไปใช้ในอุตสาหกรรมน้ำมัน ถ้าพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันอยู่ในพื้นที่เดียวกัน จะช่วยลดต้นทุนทางด้านการขนส่งได้ และหากโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มเป็นขององค์กรเกษตรกรเองก็จะยิ่งสามารถดำเนินการบริหารจัดการได้ มูลค่าเพิ่มจะตกอยู่ในท้องถิ่น เกษตรกรจะได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่
         





            นอกจากนี้ จะเชื่อมโยงเอาน้ำมันปาล์มดิบที่สกัดได้เข้าสู่ระบบการผลิตน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งปัจจุบันนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้กระทรวงพลังงานยกระดับการเอาน้ำมันปาล์มมาผลิตเป็นไบโอดีเซล ผลิตเป็น B20 (ใช้เฉพาะกับรถบรรทุกขนาดใหญ่) จะทำให้ตลาดที่มารองรับน้ำมันปาล์มดิบกว้างขวางยิ่งขึ้น





(คนธรรมดา  ม้าตัวเดียว)  บรรณาธิการข่าว 
เรวัติ น้อยวิจิตร Hub Admin rewat.noyvijit@hotmail.com 081-9107445

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น